ความจริงที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง

ตอนที่เซเวียร์ยังเด็ก ฉันอ่านนิทานกับเขาเกี่ยวกับเรื่องของเด็กชายคนหนึ่งที่ต่อต้านครู ด้วยการตั้งชื่อเพื่อใช้เรียกปากกา นักเรียนคนนี้โน้มน้าวเพื่อนร่วมชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ให้ใช้ชื่อใหม่ที่เขาตั้งขึ้นสำหรับปากกา ข่าวเกี่ยวกับคำศัพท์ที่ใช้แทนนี้แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมือง ในที่สุดผู้คนทั่วประเทศก็เปลี่ยนวิธีเรียกชื่อปากกา เพียงเพราะคนอื่นๆยอมรับความจริงที่เด็กชายคนหนึ่งแต่งขึ้นว่าเป็นความจริงสากล

ในตลอดประวัติศาสตร์ มนุษย์ที่มีข้อบกพร่องได้ยอมรับรูปแบบของความจริงที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาหรือยอมรับความเป็นจริงตามที่ตัวเองเห็นชอบเพื่อให้เหมาะกับความปรารถนาของตน อย่างไรก็ตาม พระคัมภีร์ชี้ให้เห็นความจริงหนึ่งเดียว คือพระเจ้าเที่ยงแท้แต่องค์เดียว และทางเดียวที่นำไปสู่ความรอดคือโดยทางพระเมสสิยาห์ ผู้ซึ่ง “เผยพระสิริของพระเจ้า” (อสย.40:5) ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ยืนยันว่ามนุษย์ก็เหมือนกับสรรพสิ่งทั้งปวงที่ทรงสร้าง คือเป็นสิ่งชั่วคราว ผิดพลาดได้ และไม่สามารถพึ่งพาได้ (ข้อ 6-7) ท่านกล่าวว่า “หญ้านั้นก็เหี่ยวแห้ง ดอกไม้นั้นก็ร่วงโรยไป แต่พระวจนะของพระเจ้าของเราจะยั่งยืนอยู่เป็นนิตย์” (ข้อ 8)

คำพยากรณ์ของอิสยาห์ในเรื่องการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ได้วางรากฐานที่เชื่อถือได้ เป็นที่ลี้ภัยอันปลอดภัยและความหวังอันมั่นคง เราไว้วางใจในพระดำรัสของพระเจ้าได้เพราะว่าพระเยซูทรงเป็นพระวาทะนั้น (ยน.1:1) พระเยซูทรงเป็นความจริงที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง

พระบิดาผู้ทรงไว้วางใจได้

เซเวียร์ลูกชายของฉันที่สูง 190 เซนติเมตร ได้ยกตัวเซเรียนลูกวัยหัดเดินอารมณ์ดีของเขาชูขึ้นกลางอากาศอย่างง่ายดาย เขาใช้มืออันใหญ่โตนั้นจับเท้าเล็กๆของลูกชายไว้ ทำให้สองเท้ามั่นคงอยู่ในฝ่ามือของเขา เขาเหยียดแขนออกและบอกให้ลูกชายทรงตัวด้วยตัวเองโดยมืออีกข้างที่ว่างอยู่คอยเตรียมพร้อมรอรับ เซเรียนยืดขาออกและยืนขึ้นด้วยรอยยิ้มกว้างและแขนสองข้างปล่อยลงข้างตัว ดวงตาของเขาจับจ้องอยู่ที่สายตาของพ่อ

ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์กล่าวถึงข้อดีของการจดจ่อที่พระบิดาของเราในสวรรค์ “ใจแน่วแน่นั้นพระองค์ทรงรักษาไว้ในศานติภาพอันสมบูรณ์ เพราะเขาวางใจในพระองค์” (อสย.26:3) ท่านหนุนใจให้คนของพระเจ้าทุ่มเทที่จะแสวงหาพระองค์จากพระคัมภีร์ และติดสนิทกับพระองค์ผ่านคำอธิษฐานและการนมัส-การ คนเหล่านั้นที่สัตย์ซื่อจะมีความไว้วางใจอันมั่นคงที่ถูกสร้างผ่านความสัมพันธ์ที่พวกเขามีกับพระบิดา

ในฐานะลูกที่รักของพระเจ้า เราป่าวร้องด้วยความกล้าหาญได้ว่า “จงวางใจในพระเจ้าเป็นนิตย์เพราะพระเจ้าทรงเป็นศิลานิรันดร์” (ข้อ 4) เพราะพระบิดาในสวรรค์ของเราทรงไว้วางใจได้ พระองค์และพระคำของพระองค์ไม่เคยเปลี่ยนแปลง

เมื่อเราจดจ่ออยู่ที่พระบิดาในสวรรค์ของเรา พระองค์จะทรงให้เท้าของเราตั้งมั่นคงอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ เราวางใจได้ว่าพระองค์จะทรงรัก สัตย์ซื่อ และดีต่อเราตลอดไป!

พระเจ้าทรงใช้เรื่องราวของเรา

ฉันเปิดกล่องความทรงจำแล้วดึงเข็มกลัดสีเงินอันเล็กๆซึ่งมีขนาดและรูปร่างเท่ากับเท้าของทารกในครรภ์อายุ 10 สัปดาห์ออกมา ขณะที่สัมผัสนิ้วเท้าเล็กๆทั้งสิบนิ้ว ฉันนึกถึงตอนที่ต้องสูญเสียลูกในครรภ์คนแรกไป และคนที่บอกว่าฉัน “โชคดี” ที่ไม่ได้อุ้มท้อง “ไปนานกว่านั้น” ฉันโศกเศร้าเมื่อรู้ว่าเท้าของลูกนั้นเหมือนกับหัวใจดวงน้อยที่เคยเต้นอยู่ในครรภ์ของฉันจริงๆ ฉันขอบคุณพระเจ้าที่ช่วยปลดปล่อยฉันจากภาวะซึมเศร้าและใช้เรื่องราวนี้เพื่อปลอบโยนคนที่ต้องเสียใจจากการสูญเสียลูก เป็นเวลากว่า 20 ปีหลังจากที่ฉันแท้งลูก ฉันและสามีได้ตั้งชื่อลูกที่เสียไปว่า ไค ซึ่งในบางภาษาแปลว่า “ชื่นชมยินดี” แม้ว่าฉันยังคงเจ็บปวดจากการสูญเสีย แต่ฉันขอบคุณพระเจ้าที่ทรงเยียวยาหัวใจและใช้เรื่องราวของฉันเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น

ผู้เขียนสดุดี 107 ชื่นชมยินดีในพระลักษณะของพระเจ้าและร้องสรรเสริญ “จงโมทนาขอบพระคุณพระเจ้า เพราะพระองค์ประเสริฐ เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์” (ข้อ 1) พระองค์ทรงเรียกร้องให้ “ผู้ที่พระเจ้าทรงไถ่ไว้” เล่าเรื่องราวของพวกเขา (ข้อ 2) “ให้เขาขอบพระคุณพระเจ้า เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ เพราะการอัศจรรย์ของพระองค์ที่มีต่อบุตรของมนุษย์” (ข้อ 8) พระองค์ทรงหยิบยื่นความหวังพร้อมกับพระสัญญาที่บอกว่า พระเจ้าผู้เดียวที่ “ทรงให้เขาอิ่ม และผู้ที่หิว พระองค์ทรงให้เขาหนำใจด้วยของดี” (ข้อ 9)

ไม่มีใครหลีกหนีความเศร้าโศกหรือความทุกข์ใจได้ แม้แต่คนที่ได้รับการไถ่ผ่านการสละพระชนม์บนกางเขนของพระคริสต์ แต่เราสามารถสัมผัสถึงพระเมตตาของพระเจ้าได้เมื่อพระองค์์ทรงใช้เรื่องราวของเรา เพื่อนำผู้อื่นมาถึงความรักแห่งการทรงไถ่ของพระองค์

พระเจ้าทรงได้ยินเรา

นักเรียนชั้นป.1 โทรแจ้งเหตุฉุกเฉินกับเจ้าหน้าที่ 911 “ผมต้องการความช่วยเหลือ” เด็กชายบอก “ผมต้องทำโจทย์ลบเลข” เจ้าหน้าที่ให้ความช่วยเหลือจนกระทั่งได้ยินเสียงผู้หญิงเข้ามาในห้องและพูดว่า “จอห์นนี่ ลูกทำอะไร” จอห์นนี่อธิบายว่าเขาทำการบ้านคณิตศาสตร์ไม่ได้ เขาจึงทำตามที่แม่สอนไว้เมื่อต้องการความช่วยเหลือ โดยโทรหา 911 สำหรับจอห์นนี่แล้ว ความต้องการของเขาขณะนั้นคือเรื่องฉุกเฉิน และสำหรับเจ้าหน้าที่ผู้มีเมตตา การช่วยเด็กชายทำการบ้านเป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง ณ เวลานั้น

เมื่อดาวิดผู้เขียนสดุดีต้องการความช่วยเหลือ ท่านกล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้า ขอให้ข้าพระองค์ทราบถึงบั้นปลายของข้าพระองค์ และวันเวลาของข้าพระองค์จะนานสักเท่าใด ชีวิตข้าพระองค์ไม่เที่ยงอย่างไร” (สดด.39:4) ท่านพูดว่า “ความหวังของข้าพระองค์อยู่ใน” พระเจ้า (ข้อ 7) ท่านร้องขอให้พระเจ้าทรงรับฟังและตอบ “การร้องทูล” ของท่าน (ข้อ 12) น่าแปลกที่จากนั้นท่านขอให้พระเจ้าทรง “เมินพระพักตร์จาก” ท่าน (ข้อ 13) แม้ความต้องการของดาวิดไม่ได้ถูกเปิดเผย แต่ในตลอดพระคัมภีร์นั้นท่านประกาศว่าพระเจ้าจะสถิตกับท่าน สดับฟัง และตอบคำอธิษฐานของท่านเสมอ

ความมั่นใจที่เรามีในพระเจ้าผู้ทรงมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลงจะช่วยให้เราจัดการกับอารมณ์ที่แปรปรวนได้ ในขณะเดียวกันก็มั่นใจว่าไม่มีคำทูลขอใดที่เล็กน้อยหรือยิ่งใหญ่เกินไปสำหรับพระองค์ผู้ไม่เคยเปลี่ยนไป พระองค์ทรงได้ยินเรา ทรงห่วงใย และตอบทุกคำร้องทูลอธิษฐานของเรา

ดูเหมือนพระเยซูมากยิ่งขึ้น

พระเจ้าทรงออกแบบให้นกฮูกเทาใหญ่เป็นเจ้าแห่งการพรางตัว ขนสีเทาเงินของมันมีรูปแบบของกลุ่มสีที่ช่วยให้มันกลมกลืนไปกับเปลือกไม้เวลาเกาะอยู่บนต้นไม้ เวลาที่นกฮูกไม่ต้องการให้ใครเห็น มันจะซ่อนตัวขณะอยู่ในที่โล่งโดยใช้การอำพรางตัวด้วยขนที่กลมกลืนกับสภาพแวดล้อม

คนของพระเจ้ามักจะทำตัวเป็นเหมือนนกฮูกสีเทามากจนเกินไป เราสามารถทำตัวให้กลมกลืนกับโลกได้อย่างง่ายดายโดยไม่มีใครรู้ว่าเราเป็นผู้เชื่อในพระคริสต์ ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม พระเยซูทรงอธิษฐานเพื่อเหล่าสาวกของพระองค์ คือคนเหล่านั้นที่พระบิดาประทานแก่พระองค์ “จากมวลมนุษย์โลก” ผู้ “ปฏิบัติตาม” พระวจนะของพระองค์ (ยน.17:6) พระเจ้าพระบุตรทูลขอพระเจ้าพระบิดาให้ทรงปกป้องและเสริมกำลังพวกเขาในการดำเนินชีวิตที่บริสุทธิ์และยังคงชื่นชมยินดีเมื่อพระองค์จากไป (ข้อ 7-13) พระองค์ตรัสว่า “ข้า​พระ​องค์​ไม่ได้​ขอ​ให้​พระ​องค์​เอา​เขา​ออกไป​จาก​โลก แต่​ขอ​ปกป้อง​เขา​ไว้​ให้​พ้น​จาก​มาร​ร้าย​” (ข้อ 15) พระเยซูทรงทราบว่าสาวกของพระองค์จำเป็นต้องได้รับการชำระให้บริสุทธิ์และถูกแยกไว้ เพื่อที่พวกเขาจะได้ดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ที่พระองค์ทรงใช้ให้พวกเขามาทำให้สำเร็จ (ข้อ 16-19)

พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสามารถช่วยเราจากการถูกล่อลวงให้กลายเป็นเจ้าแห่งการพรางตัวเพื่อจะกลมกลืนกับโลก เมื่อเรายอมจำนนต่อพระองค์ในทุกวัน เราก็จะเป็นเหมือนพระเยซูมากขึ้น เมื่อเราดำเนินชีวิตในความรักและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว พระองค์จะทรงนำผู้อื่นมาถึงพระคริสต์โดยพระสิริทั้งสิ้นของพระองค์

รักด้วยการกระทำ

แม่เลี้ยงเดี่ยวคนนี้อาศัยอยู่ข้างบ้านของสุภาพบุรุษชรามานานกว่าห้าปีแล้ว วันหนึ่งเขากดกริ่งประตูบ้านด้วยความเป็นห่วงสวัสดิภาพของเธอ “ผมไม่เห็นคุณมาประมาณหนึ่งสัปดาห์แล้ว” เขากล่าว “ผมแค่มาดูว่าคุณสบายดีไหม” การที่เขามา “ถามไถ่เรื่องสุขภาพ” นั้นช่วยหนุนใจเธอ หลังจากที่สูญเสียพ่อตั้งแต่อายุยังน้อย เธอจึงรู้สึกซาบซึ้งที่มีชายใจดีคอยดูแลเธอและครอบครัว

เมื่อของขวัญแห่งความเมตตาที่ให้โดยไม่คิดมูลค่าและประเมินค่าไม่ได้นี้เป็นมากยิ่งกว่าแค่การเป็นคนดี แต่คือการที่เรากำลังรับใช้ผู้อื่นด้วยการแบ่งปันความรักของพระคริสต์กับพวกเขา ผู้เขียนพระธรรมฮีบรูกล่าวว่า ผู้เชื่อในพระเยซูควร “ถวายการสรรเสริญเป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้าโดยทางพระเยซูตลอดไป คือถวายผลแห่งริมฝีปากที่กล่าวยอมรับพระนามของพระองค์” (ฮบ.13:15 TNCV) จากนั้นผู้เขียนมอบหมายให้พวกเขาดำเนินชีวิตตามความเชื่อ โดยกล่าวว่า “อย่าลืมที่จะทำความดีและแบ่งปันร่วมกับผู้อื่น เพราะพระเจ้าพอพระทัยเครื่องบูชาเช่นนี้” (ข้อ 16 TNCV)

การนมัสการพระเยซูโดยการประกาศพระนามของพระองค์นั้นเป็นความปีติยินดีและสิทธิพิเศษ เมื่อเรารักเหมือนพระเยซูเราก็ได้แสดงความรักที่แท้จริงต่อพระเจ้า เราสามารถทูลขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่จะให้เราตระหนักถึงโอกาสและเสริมกำลังให้เรารักสมาชิกในครัวเรือนของเรารวมถึงคนอื่นๆด้วย ในช่วงเวลาแห่งการทำพันธกิจรับใช้เหล่านั้น เราก็กำลังประกาศถึงพระเยซูผ่านข้อความที่ทรงพลังนั่นคือความรักที่สำแดงออกเป็นการกระทำ

ยัติภังค์ที่มีความหมาย

ขณะเตรียมการสำหรับพิธีฉลองเพื่อรำลึกถึงชีวิตแห่งการรับใช้ของคุณแม่ ฉันอธิษฐานขอถ้อยคำที่เหมาะสมเพื่อจะบรรยายถึง “ปียัติภังค์ (-)” คือช่วงปีที่อยู่ระหว่างการเกิด - การเสียชีวิตของท่าน ฉันนึกถึงช่วงเวลาที่ดีและไม่ค่อยดีนักในความสัมพันธ์ของเรา ฉันสรรเสริญพระเจ้าในวันที่แม่ต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดหลังจากที่ได้เห็นพระองค์ทรง “เปลี่ยนแปลง” ฉัน ฉันขอบคุณพระองค์ที่ทรงช่วยให้เราเติบโตในความเชื่อด้วยกัน และสำหรับผู้คนที่แบ่งปันว่าแม่ได้หนุนใจและอธิษฐานเผื่อพวกเขาด้วยความเมตตาอย่างไร แม่ที่ไม่สมบูรณ์แบบของฉันมีความสุขกับยัติภังค์ที่มีความหมาย คือช่วงเวลาที่ดำเนินชีวิตอย่างดีเพื่อพระเยซู

ไม่มีผู้เชื่อพระเยซูคนใดที่สมบูรณ์แบบ แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสามารถทำให้เรา “ประพฤติอย่างที่สมควรต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า และทำตนให้เป็นที่ชอบพระทัยพระองค์” (คส.1:10) ตามที่อัครทูตเปาโลบอก คริสตจักรในโคโลสีเป็นที่รู้จักในเรื่องความเชื่อและความรัก (ข้อ 3-6) พระวิญญาณบริสุทธิ์ประทาน “ปัญญาและ...ความเข้าใจ” และเสริมกำลังพวกเขาให้ “เกิดผลในการดีทุกอย่าง และจำเริญขึ้นในความรู้ถึงพระเจ้า” (ข้อ 9-10) ในขณะที่เปาโลอธิษฐานเผื่อและชื่นชมผู้เชื่อเหล่านั้น ท่านก็ได้ประกาศพระนามของพระเยซูผู้ที่ “ในพระบุตรนั้นเราจึงได้รับการไถ่ ซึ่งเป็นการทรงโปรดยกบาปทั้งหลายของเรา” (ข้อ 14)

เมื่อเรายอมจำนนต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราเองก็สามารถเติบโตขึ้นได้ในความรู้ถึงพระเจ้า ในการรักพระองค์และผู้อื่น ในการประกาศข่าวประเสริฐ และชื่นชมยินดีกับยัติภังค์ที่มีความหมาย คือช่วงเวลาที่เราดำเนินชีวิตอย่างดีเพื่อพระเยซู

ของประทานแห่งการเปลี่ยนแปลงชีวิต

ฉันกล่าวทักทายกลุ่มเยาวชนขณะที่สามีฉันแจกพระคัมภีร์ให้กับพวกเขา ฉันบอกพวกเขาว่า “พระเจ้าจะใช้ของขวัญอันล้ำค่านี้เพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกคุณ” คืนนั้นมีนักเรียนสองสามคนตั้งใจว่าจะอ่านพระกิตติคุณยอห์นด้วยกัน และระหว่างที่สอนเด็กกลุ่มนี้ในการประชุมประจำสัปดาห์ เรายังได้หนุนใจให้พวกเขากลับไปอ่านพระคัมภีร์ที่บ้าน อีกสิบกว่าปีต่อมา ฉันพบนักเรียนคนหนึ่งในกลุ่มนี้ เธอบอกฉันว่า “หนูยังคงใช้พระคัมภีร์ที่คุณให้มา” โดยฉันเห็นหลักฐานนั้นจากชีวิตที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อของเธอ

พระเจ้าไม่เพียงแต่ช่วยประชากรของพระองค์ให้สามารถอ่าน ท่องจำ และจดจำพระคัมภีร์ทุกข้อทุกตอนได้ แต่ยังช่วยให้เราสามารถ “รักษาทางของตนให้บริสุทธิ์” โดยการดำเนินชีวิต “ตาม” พระวจนะของพระองค์ (สดด.119:9) พระเจ้าต้องการให้เราแสวงหาและเชื่อฟังพระองค์ขณะที่ทรงใช้ความจริงที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงนี้เพื่อปลดปล่อยเราจากบาปและเปลี่ยนแปลงเรา (ข้อ 10-11) เราสามารถทูลขอพระเจ้าในทุกวันให้ช่วยเราได้รู้จักพระองค์และเข้าใจสิ่งที่พระองค์ตรัสในพระคัมภีร์ (ข้อ 12-13)

เมื่อเราตระหนักถึงคุณค่าของการดำเนินชีวิตในทางของพระเจ้า เราจะ “ปีติยินดี” ในคำสั่งสอนของพระองค์ “มากเท่ากับในความมั่งคั่งทั้งสิ้น” (ข้อ 14-15) เช่นเดียวกับผู้เขียนสดุดี เราสามารถร้องว่า “ข้าพระองค์จะปีติยินดีในกฎเกณฑ์ของพระองค์ ข้าพระองค์จะไม่ลืมพระวจนะของพระองค์” (ข้อ 16) เมื่อเราทูลขอกำลังจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราจะดื่มด่ำกับช่วงเวลาที่เราอ่านพระคัมภีร์ ซึ่งเป็นของขวัญแห่งการเปลี่ยนแปลงชีวิตที่พระเจ้ามอบให้กับเรา

ทุกนาทีมีค่า

เมื่อเรือไททานิกชนภูเขาน้ำแข็งในเดือนเมษายน ปีค.ศ. 1912 ศิษยาภิบาลจอห์น ฮาร์เปอร์เก็บที่นั่งอันจำกัดในเรือชูชีพไว้ที่หนึ่งให้ลูกสาววัยหกขวบ เขาเอาเสื้อชูชีพของตนให้เพื่อนผู้โดยสารคนหนึ่งและประกาศข่าวประเสริฐให้กับทุกคนที่ยอมฟัง ขณะที่เรือจมลงและผู้คนนับร้อยรอคอยโอกาสอันน้อยนิดที่จะมีคนมาช่วย ฮาร์เปอร์ได้ว่ายน้ำจากคนหนึ่งไปหาอีกคนหนึ่งและบอกว่า “จงเชื่อและวางใจในพระเยซูเจ้า และท่านจะรอดได้” (กจ.16:31)

ในระหว่างการประชุมสำหรับผู้รอดชีวิตจากเรือไททานิกที่เมืองออนทาริโอ ประเทศแคนาดา มีชายคนหนึ่งเรียกตนเองว่าเป็น “ผู้กลับใจคนสุดท้ายของจอห์น ฮาร์เปอร์” เขาปฏิเสธคำเชิญครั้งแรกของฮาร์เปอร์ และต้อนรับพระคริสต์เมื่อนักเทศน์ผู้นี้ได้ถามเขาอีกครั้ง เขามองดูขณะที่ฮาร์เปอร์ทุ่มเทช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตในการพูดเรื่องพระเยซูก่อนที่เขาจะเสียชีวิตจากภาวะอุณหภูมิร่างกายต่ำและจมลงใต้พื้นน้ำอันเย็นยะเยือก

ในคำกำชับถึงทิโมธีนั้น เปาโลได้หนุนใจเขาคล้ายๆกันนี้ถึงความเร่งด่วนและการอุทิศตนในการประกาศโดยไม่เห็นแก่ตนเอง เปาโลยืนยันถึงการทรงสถิตอยู่ด้วยตลอดเวลาของพระเจ้าและการที่พระเยซูจะเสด็จกลับมาอย่างแน่นอน ท่านกำชับให้ทิโมธีประกาศพระวจนะด้วยความอดทนและอย่างถูกต้องแม่นยำ (2 ทธ.4:1-2) ท่านเตือนนักประกาศหนุ่มผู้นี้ให้หนักแน่นมั่นคงอยู่เสมอ แม้บางคนจะปฏิเสธพระเยซู (ข้อ 3-5)

วันเวลาของเรามีจำกัด ดังนั้นทุกนาทีจึงมีค่า เรามั่นใจได้ว่าพระบิดาทรงเตรียมที่ในสวรรค์ไว้ให้เราแล้วในขณะที่เราประกาศว่า “พระเยซูทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอด!”

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา